ร่วมด้วยช่วยกันแชร์เป็นธรรมทาน

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

สติ สัมปชัญญะ : บทที่ ๔ "สัมปชัญญะ" : ความหมาย และลักษณะของผู้มีสัมปชัญญะ

สัมปชัญญะ 

ตอน

ความหมายและลักษณะของผู้มีสัมปชัญญะ

       สัมปชัญญะ แปลว่า ความรู้ตัว หมายถึง ความรู้ตัวขณะที่กำลังทำ พูด คิดการงานอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ เช่น
                             กำลังล้างหน้า ก็รู้ตัวว่า กำลังล้างหน้า
                             กำลังอาบน้ำ ก็รู้ตัวว่า กำลังอาบน้ำ
                             กำลังอ่านหนังสือ ก็รู้ตัวว่า กำลังอ่านหนังสือ
                             กำลังเดินข้ามถนน ก็รู้ตัวว่า กำลังเดินข้ามถนน
       ความรู้ตัวเหล่านี้ เป็นลักษณะสัมชัญญะที่เกิดขณะทำกิจส่วนตน เมื่อผู้ใดมีสัมปชัญญะเช่นนี้ ย่อมทำให้ผู้นั้นมีอารมณ์ดีอยู่ในอารมณ์เดียวต่อเนื่องและช่างสังเกตโดยปริยาย ช่วยให้สิ่งที่ผู้นั้นกำลังทำลุล่วงด้วยดี นี้จัดเป็น สัมปชัญญะเบื้องต้น ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองควรฝึกลูกหลานของตนทำให้ชำนาญตั้งแต่เล็ก เพราะเมื่อเขาเติบใหญ่จะต้องทำงานเกี่ยวข้องกับผู้อื่นมากขึ้น โอกาสที่งานเหล่านั้นจะเกิดประโยชน์หรือโทษต่อตัวเขาเอง ต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง ย่อมมีความซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากงานที่เขากำลังทำนั้น แม้เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ แต่อาจทำลายสุขภาพตนเอง หรือไม่ได้ทำความเสียหายแก่สุขภาพตนเอง แต่รบกวนเพื่อนพ้องได้ ไม่รบกวนเพื่อนพ้องแต่อาจทำลายสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ อาจทำลายศีลธรรม ขบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามได้ เช่นเหตุการณ์ดังต่อไปนี้
       โจรบางคน ก็รู้ตัวว่า การปลันทรัพย์ของผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งไม่ดีแต่ก็ปล้น เพื่อหวังจะได้ทรัพย์ ขณะปล้นก็พยายามทำให้แนบเนียนไม่ให้ถูกจับ บางพวกก็ปล้นเพื่อเผาผลาญทำลายทรัพย์ผู้อื่น
       คนสับปลับบางคน ก็รู้ตัวว่า การโกหกเป็นสิ่งไม่ดี แต่ก็พูดโกหกและพยายามพูดให้น่าเชื่อถือ เพื่อหวังประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งจากผู้อื่นหรือเพื่อทำลายผู้อื่น
       คำถามก็คือ ทั้งโจรและคนสับปลับต่างก็รู้อยู่แล้วว่า การปล้น การโกหกไม่ดี เป็นความผิด แล้วทำไมจึงทำจึงพูดอย่างนั้น พยายามทำอย่างรัดกุม จับได้ไล่ทันก็ยาก นั่นแสดงว่าก่อนทำ ก่อนพูด พวกเขารู้อยู่แล้วว่า การกระทำเช่นนี้เป็นความชั่ว แต่ขาดสัมปชัญญะ คือ ขาดความรู้ตัวในการระวังไม่ให้ตนเองทำความชั่ว และเผลอลงมือทำความชั่วไปเต็มที่ ดังนั้น เราจึงไม่มีหลักประกันว่าในอนาคตเราเองหรือลูกหลานของเราจะไม่กลายเป็นโจร เป็นคนสับปลับเช่นเดียวกันคนเหล่านั้นด้วย เพราะโจรและคนสับปลับบางคนก็มีการศึกษาสูง มียศ ตำแหน่งสูงกว่าเรา
       คำตอบก็คือ ไม่ว่าโจรหรือคนสับปลับจะมีความรู้ทางโลกระดับสูงเพียงใด ความรู้เหล่านั้นเป็นเพียงความรู้จริงทางด้านวิชาการ แต่เขาขาดความรู้จริงด้านการทำความดี อย่างมากก็มีความรู้ด้านการทำความดีระดับผิวเผิน จึงได้ทำเลว ๆ เช่นนั้น หรือต่อให้รู้จักความดี รู้จักธรรมะจากการเรียนมาอย่างดีก็ตาม แต่หากเรียนอย่างขาดศรัทธา ไม่มีความเชื่อมั่นในความดี และไม่ได้ฝึกฝนทำความดีด้วยสติสัมปชัญญะในทุกเรื่องอย่างต่อเนื่อง พวกเขาก็มีโอกาสที่จะนำความรู้เหล่านั้นไปทำความชั่วได้อย่างมากมายเลยทีเดียว ดังผู้รู้จริงกล่าวว่า

"ความรู้เกิดแก่คนพาลเพียงเพื่อทำลายถ่ายเดียว ความรู้ของคนพาลนั้น
กำจัดคุณงามความดี ทำปัญญาของเขาให้ตกต่ำ"

ขุ.ธ. ๒๕/๗๒/๔๙ (ไทย.มจร)

       ไม่ว่าโจรหรือคนสับปลับล้วนเป็นคนที่มีปกติปล่อยใจออกนอกกายเป็นนิจ ทุกครั้งที่ใจแวบออกไปนอกกาย ใจของเขาย่อมพร้อมจะคิดชั่ว-พูดชั่ว-ทำชั่ว คือ ขาดสติสัมปชัญญะความรู้ตัวที่สมบูรณ์ด้วยเหตุ ๓ ประการ
       ๑. ใจของเขาย่อมคิดเคว้งคว้างสับสนทั้งที่อยากเป็นคนดี เพราะเขาขาดสติ ซึ่งเป็นคุณธรรมควบคุมใจให้เลือกคิด-พูดทำแต่สิ่งดี  เท่านั้น สภาพของใจขณะนั้นจึงไม่ต่างกับเรือที่เคว้งคว้าง เพราะขาดหางเสือควบคุมให้พ้นจากคลื่นลม และหินโสโครกใต้น้ำ
       ๒. ใจของเขาอ่อนกำลังลงโดยฉับพลัน เพราะเมื่อใดใจแวบออกนอกกาย กามคุณ ๕ หรือ รูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัส ย่อมกรูเข้ามาฉุดกระซากใจให้เข้าไปหา คือ รูปแย่งฉุดตาไปดู เสียงฉุดหูไปฟัง กลิ่นฉุดจมูกไปดม รสฉุดลิ้นไปลิ้ม วัตถุฉุดกายไปสัมผัส สิ่งไหนมีแรงมาก ย่อมแย่งฉุดใจให้เข้าไปหาได้ก่อน ซึ่งสิ่งที่ดึงดูดให้ใจเข้าไปหา มีทั้งที่ถูกใจและไม่ถูกใจ กว่าจะตัดสินใจได้ว่าจะหันเข้าไปหาสิ่งใดก่อน ซึ่งสิ่งนั้นเขาเองก็ยังไม่รู้จริง ยังถูกโมหะย้อมใจอยู่เพียงยังไม่รู้จริงถึงสิ่งที่ตนจะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เท่านี้ใจก็อ่อนกำลังต้านทานความชั่วลงไปมากแล้ว
       ๓. ทันทีที่ใจของเขาหันไปสนใจที่รูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัสวัตถุที่น่าพอใจนั้น กิเลสประเภทโลภะ โทสะ โมหะซึ่งยังฝังอยู่ในใจตั้งแต่เกิด ย่อมแพร่กระจายย้อมใจให้ขุ่นมัว คิดแต่ในทางที่จะได้สิ่งนั้นเป็นของตนให้ได้ ทั้งที่รู้ว่าสิ่งนั้นอยู่ในความครอบครองของผู้อื่นโดยชอบธรรม ยิ่งถูกใจมาก ความโลภก็ยิ่งฉุดแรงมากขึ้น สัมปชัญญะความรู้ตัวว่าไม่ใช่ของตน ก็อ่อนแรงจนเกินจะต้านทาน แล้วก็ปล้น โกหก เพื่อให้ได้สิ่งนั้นมาตามต้องการหากมีความรู้ด้านวิชาการมาก ก็ยิ่งนำวิชาการทางโลกที่ตนมีมาประกอบการปล้น การโกหกได้แนบเนียน ให้น่าเชื่อถือและสำเร็จโดยง่าย โดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะตามมาภายหลัง
       ถ้าสิ่งที่ฉุดใจ คือ รูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัสที่ไม่น่าพอใจ กิเลสประเภทโทสะซึ่งฝังอยู่ในใจย่อมแพร่กระจายย้อมใจให้ขุ่นมัวทันที พร้อมกับเกิดความคิดเห็นผิด ๆ คือ คิดเห็นในทางทำลาย ยิ่งไม่พอใจมากยิ่งอยากทำลายรุนแรงมาก มากจนสัมปชัญญะความรู้ตัวว่า สิ่งนี้ไม่ใช่ของตนและตนไม่มีสิทธิจะทำลายนั้น อ่อนแรงลงมากจนเกินจะต้านทานไว้ได้ การปลัน การโกหกเพื่อหวังทำลายล้างจึงเกิดขึ้น เพราะความขาดสติสัมปชัญญะของผู้นั้น
       โจรและคนสับปลับเหล่านี้หากทำความชั่วได้สมใจ โดยไม่มีใครจับได้ไล่ทัน จากเพียงแค่โลภะหรือโทสะก็จะขยายความไม่รู้จริงและความขุ่นมัวดำมืดของใจมากยิ่งขึ้นด้วยอำนาจแห่งโมหะความโง่ว่า ยิ่งโลภะยิ่งได้ คือ ทั้งโง่ ทั้งโลภะ หรือยิ่งโทสะยิ่งเก่ง คือ ทั้งโง่ ทั้งโทสะ หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รีบแก้ไข จากความโง่ก็จะกลายเป็นมิจฉาทิฐิมีความหลงผิดว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป
       การทำงานที่ประกอบด้วยสัมปชัญญะ จึงเป็นการทำงานที่ก่อให้เกิดประโยชน์หรือการได้มาจากความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจของผู้ทำเท่านั้น ขณะทำงานผู้ทำการงานนั้นยังต้องป้องกันไม่ให้มีการเสียหายเดือดร้อนใด ๆ เกิดขึ้นด้วย ถ้ามีบ้างก็ต้องให้น้อย แต่สำคัญที่สุดคือเสร็จงานแล้วต้องไม่มีความเดือดร้อนตามมา มีแต่ความอิ่มเอมเบิกบานใจของทุกฝ่าย


คนบางคนรู้จักความดี

รู้จักธรรมะจากการเรียนมาอย่างดี
แต่หากเรียนอย่างขาดศรัทธา
ไม่มีความเชื่อมั่นในความดี
และขาดการฝึกฝนในการทำดีด้วยสติสัมปชัญญะ
พวกเขาก็มีโอกาสที่จะนำความรู้เหล่านั้น
ไปทำความชั่วได้อย่างมากมาย
 

1 ความคิดเห็น:

welcome everyone to เล่าเรื่องตามกาลเวลา