กำเนิดผู้รู้จริงครูดีต้นแบบ
โลกที่เราอาศัยอยู่นี้มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกสลายไป แล้วกลับมาเกิดเป็นโลกใบใหม่ขึ้นมาอีกวนเวียนอยู่อย่างนี้นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ยุคใดที่สิ่งแวดล้อมทั้ง ๕ ในโลกสะอาดมาก ยุคนั้นมนุษย์และสัตว์ไม่เว้นแม้ต้นไม้ใบหญ้าย่อมอายุยืน พืชพันธุ์ธัญญาหารย่อมอุดมสมบูรณ์ ความอดอยากยากจนถึงมีก็น้อยมาก
ในยุคเช่นว่านี้ ย่อมมีครอบครัวที่พ่อแม่มีจิตใจดีงาม รักการทำความสะอาด จัดระเบียบทั้งร่างกายตนเองตลอดจนปัจจัย ๔ และสิ่งที่เนื่องด้วยปัจจัย ๔ ด้วยตนเองอย่างพิถีพิถันถูกต้องเหมาะสมตามวิธีการของสิ่งนั้น ๆ ด้วยอารมณ์ดีมีจิตผ่องใสเป็นนิจ เมื่อบุตรถือกำเนิดมา ก็ตั้งใจอบรมให้บุตรคุ้นกับความสะอาด และความเป็นระเบียบตั้งแต่ยังเป็นทารกนอนแบเบา: โตขึ้นก็อบรมให้บุตรรักการทำความสะอาด จัดระเบียบอย่างถูกวิธี และพิถีพิถันเช่นเดียวกับตน สมกับอายุ เพศ และวัย อย่างใกล้ชิด ชี้แจงเหตุผลให้บุตรเข้าใจตรงตามความเป็นจริงว่า ทำไมจึงต้องปฏิบัติต่อสิ่งของนั้น ๆ อย่างนี้อย่างนั้น ด้วยอารมณ์แจ่มใสและไม่เบื่อต่อการตอบข้อชักถามและข้อข้องใจของบุตร
บุตรที่เกิดในครอบครัวเช่นนี้ ทั้งหญิงและชายย่อมสามารถควบคุมโรคประจำกาย ๖ ของตนได้ดีมาแต่เล็กสุขภาพร่างกายย่อมแข็งแรง ใจย่อมเชื่องอยู่ในกายไม่กระลับกระส่ายง่าย เกิดความรักสงบเป็นชีวิตจิตใจโดยธรรมชาติ เพราะถูกฝึกให้มีสติสัมปชัญญะโดยไม่รู้ตัว ขณะที่ใจจดจ่อกับการทำความสะอาด จัดระเบียบทั้งร่างกาย ตุ๊กตาที่อุ้มเล่นและสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ของตน
บุตรเช่นว่านี้ เมื่อเติบโตขึ้นหากได้พบครูดีแนะนำสั่งสอนให้ทำสมาธิถูกวิธีท่านแล้วท่านเล่า ย่อมสามารถเก็บใจไว้กลางกายได้เป็นนิจ สติสัมปชัญญะย่อมสมบูรณ์ ใจย่อมผ่องใส ทรงพลังมหาศาลเกินคาด เพราะตั้งแต่เล็กจนโต การกระทำใด ๆ ทางกายก็ตรงไปตรงมา เพื่อให้สิ่งที่ทำนั้นสะอาด และเป็นระเบียบจริงสมกับคุณสมบัติ หรือคุณภาพของสิ่งนั้น ไม่มีการกระทำใด ๆ ทางกายที่น่าอับอายต้องปิดบังใคร คำพูดก็ตรงไปตรงมาตามคุณภาพงานที่ตนทำ ไม่มีความจำเป็นต้องกล่าวเท็จใด ๆ ความคิดก็ตรงไปตรงมาตามความจริง เพื่อให้ทุกสิ่งที่ตนต้องเกี่ยวข้องดำเนินไปด้วยดี ไม่มีใครต้องเดือดร้อน เพราะคำพูดและการงานที่ตนทำ มีแต่เกิดประโยชน์ต่อทุกคน
บุคคลที่ใจสงบเป็นสมาธิตั้งมั่น มีสติควบคุมเก็บรักษาใจไว้ในศูนย์กลางกายได้เป็นนิจ มีสัมปชัญญะคิดรู้ตัวอยู่เสมอ ตั้งแต่วัยทารกเช่นนี้ เมื่อเห็นชาวโลกในยุคของตนยอมแพ้อย่างราบคาบต่อความจริงที่น่าตระหนกประจำโลก ๔ ประการ คือ ๑) ตั้งแต่เกิดมาต่างต้องตกอยู่ใต้ความไม่รู้อะไรเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่รู้ว่าตนเกิดมาทำไม ก็ยอมคิดมักง่ายว่าช่างมัน ๒) ตั้งแต่เกิดมาต่างต้องอยู่กับความทุกข์เดือดร้อนทั้งกายใจจนกระทั่งตาย ก็ยอมคิดมักง่ายว่าช่างมัน ๓) ตั้งแต่เกิดมาต่างต้องอยู่กับความสกปรก และผลิตขยะสร้างความสกปรกให้แก่โลกจนกระทั่งตายแม้ตายแล้วก็ยังทิ้งศพให้สกปรกต่อโลกอีก ก็ยอมคิดมักง่ายว่าช่างมัน ๔) ตั้งแต่เกิดมาต่างต้องตกอยู่ใต้กฎแห่งกรรมซึ่งไม่มีการประกาศให้รู้ แต่บีบคั้นให้ต้องเป็นนักโทษรอประหารของโลกอย่างไม่มีวันจบ ก็ยังยอมคิดมักง่ายว่าช่างมันอยู่นั่นเอง แต่ท่านผู้มีใจสงบนี้กลับฮึดสู้ ไม่ยอมถอยแม้ครึ่งก้าว เพราะสติเตือนให้ท่านระลึกถึงความจริงที่เห็นประจักษ์ตามธรรมชาติว่า
เมื่อมีร้อน ก็มี เย็น
เมื่อมีมืด ก็มี สว่าง
เมื่อมีขุ่น ก็มี ใส
เพราะฉะนั้น เมื่อมีความไม่รู้ ก็ย่อมมี ความรู้แจ้งมาแก้ไขได้
เมื่อมีความทุกข์ ก็ย่อมมี ความสุขมาแก้ไขได้
เมื่อมีความสกปรก ก็ย่อมมี ความสะอาดมาแก้ไขได้
เมื่อมีการตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม ก็ย่อมมี การอยู่เหนือกฎแห่งกรรมมาแก้ไขได้
สัมปชัญญะของท่านก็คอยกระตุ้นเตือนให้รู้ตัวว่า บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ที่ท่านต้องยอมสละชีวิตบำเพ็ญเพียรทั้งด้านกายภาพ และจิตภาพควบคู่กันไป เพื่อค้นหาความจริงของสรรพสัตว์และสรรพสิ่ง เพื่อนำความรู้จริงเรื่องนั้น ๆมาเป็นอุปกรณ์กำจัดความจริงที่น่าตระหนกประจำโลกทั้ง ๔ ประการ ให้หมดสิ้นให้จงได้
ในที่สุด หลังจากท่านค้นคว้าและประพฤติปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดยิ่งยวดพอเหมาะพอดีมายาวนาน สุขภาพร่างกายของท่านก็แข็งแกร่งเต็มที่ สมาธิและสติสัมปชัญญะของท่านก็สมบูรณ์ถึงที่สุด สามารถประคองรักษาใจให้หยุดนิ่ง ตั้งมั่น ณ ศูนย์กลางกายได้อย่างถาวร ใจของท่านก็ใสสะอาดบริสุทธิ์ถึงที่สุด บังเกิดความสว่างโพลงขึ้นภายในอย่างไม่มีประมาณ ราวกับกลืนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงไว้กลางท้อง แต่มีความชุ่มเย็นเหมือนดวงจันทร์เพ็ญ สามารถเห็นสรรพสิ่งและสรรพสัตว์ต่าง ๆ ตรงตามความเป็นจริง และรู้แจ้งความจริงจากการเห็นนั้นพร้อม ๆ กันไปทำให้ท่านสามารถประพฤติปฏิบัติกาย-วาจา-ใจของตนให้สะอาดบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ตั้งแต่นั้นมาทุกการกระทำของท่าน ย่อมไม่ทำความเดือดร้อนใด ๆ ทั้งต่อตัวท่านเองและผู้อื่น มีแต่จะทำให้เกิดประโยชน์กับสรรพสัตว์ทั่วหน้า กิเลส คือโรคประจำใจ ๓ ก็ถูกกำจัดออกจากใจ เพราะการเห็นและรู้ความจริงจากความสว่างภายในนั้น
สิ่งที่สำคัญและเป็นพระคุณอย่างหาที่สุดมิได้ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย คือ ท่านไม่หวงแหนความรู้แจ้งเห็นจริงที่ท่านค้นคว้าศึกษาวิจัยมาด้วยชีวิตของท่านเอง ท่านยังมีมหากรุณาสั่งสอนชาวโลกให้รู้ความจริงของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งตามท่าน ติดตามให้กำลังใจผู้ที่สามารถตรึกตรองจนรู้ความจริงให้กล้าสละชีวิต ฝึกตนจนสามารถเก็บใจไว้ในกายได้อย่างถาวร ใจจึงสะอาด บริสุทธิ์ ได้รู้แจ้งเห็นจริงในทุกระดับทั้งจากภายนอกและภายในกาย กำจัดกิเลสได้อย่างเด็ดขาด และพ้นทุกข์อย่างแท้จริงตามท่าน ท่านจึงได้ชื่อว่า ท่านผู้รู้แจ้งเห็นจริง คือ ทั้งรู้และทั้งเห็นจริงในสรรพสัตว์และสรรพสิ่งด้วยตนเองโดยชอบ เราเรียกนามของท่านสั้น ๆ ว่า ท่านผู้รู้จริง
ในยุคเช่นว่านี้ ย่อมมีครอบครัวที่พ่อแม่มีจิตใจดีงาม รักการทำความสะอาด จัดระเบียบทั้งร่างกายตนเองตลอดจนปัจจัย ๔ และสิ่งที่เนื่องด้วยปัจจัย ๔ ด้วยตนเองอย่างพิถีพิถันถูกต้องเหมาะสมตามวิธีการของสิ่งนั้น ๆ ด้วยอารมณ์ดีมีจิตผ่องใสเป็นนิจ เมื่อบุตรถือกำเนิดมา ก็ตั้งใจอบรมให้บุตรคุ้นกับความสะอาด และความเป็นระเบียบตั้งแต่ยังเป็นทารกนอนแบเบา: โตขึ้นก็อบรมให้บุตรรักการทำความสะอาด จัดระเบียบอย่างถูกวิธี และพิถีพิถันเช่นเดียวกับตน สมกับอายุ เพศ และวัย อย่างใกล้ชิด ชี้แจงเหตุผลให้บุตรเข้าใจตรงตามความเป็นจริงว่า ทำไมจึงต้องปฏิบัติต่อสิ่งของนั้น ๆ อย่างนี้อย่างนั้น ด้วยอารมณ์แจ่มใสและไม่เบื่อต่อการตอบข้อชักถามและข้อข้องใจของบุตร
บุตรที่เกิดในครอบครัวเช่นนี้ ทั้งหญิงและชายย่อมสามารถควบคุมโรคประจำกาย ๖ ของตนได้ดีมาแต่เล็กสุขภาพร่างกายย่อมแข็งแรง ใจย่อมเชื่องอยู่ในกายไม่กระลับกระส่ายง่าย เกิดความรักสงบเป็นชีวิตจิตใจโดยธรรมชาติ เพราะถูกฝึกให้มีสติสัมปชัญญะโดยไม่รู้ตัว ขณะที่ใจจดจ่อกับการทำความสะอาด จัดระเบียบทั้งร่างกาย ตุ๊กตาที่อุ้มเล่นและสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ของตน
บุตรเช่นว่านี้ เมื่อเติบโตขึ้นหากได้พบครูดีแนะนำสั่งสอนให้ทำสมาธิถูกวิธีท่านแล้วท่านเล่า ย่อมสามารถเก็บใจไว้กลางกายได้เป็นนิจ สติสัมปชัญญะย่อมสมบูรณ์ ใจย่อมผ่องใส ทรงพลังมหาศาลเกินคาด เพราะตั้งแต่เล็กจนโต การกระทำใด ๆ ทางกายก็ตรงไปตรงมา เพื่อให้สิ่งที่ทำนั้นสะอาด และเป็นระเบียบจริงสมกับคุณสมบัติ หรือคุณภาพของสิ่งนั้น ไม่มีการกระทำใด ๆ ทางกายที่น่าอับอายต้องปิดบังใคร คำพูดก็ตรงไปตรงมาตามคุณภาพงานที่ตนทำ ไม่มีความจำเป็นต้องกล่าวเท็จใด ๆ ความคิดก็ตรงไปตรงมาตามความจริง เพื่อให้ทุกสิ่งที่ตนต้องเกี่ยวข้องดำเนินไปด้วยดี ไม่มีใครต้องเดือดร้อน เพราะคำพูดและการงานที่ตนทำ มีแต่เกิดประโยชน์ต่อทุกคน
บุคคลที่ใจสงบเป็นสมาธิตั้งมั่น มีสติควบคุมเก็บรักษาใจไว้ในศูนย์กลางกายได้เป็นนิจ มีสัมปชัญญะคิดรู้ตัวอยู่เสมอ ตั้งแต่วัยทารกเช่นนี้ เมื่อเห็นชาวโลกในยุคของตนยอมแพ้อย่างราบคาบต่อความจริงที่น่าตระหนกประจำโลก ๔ ประการ คือ ๑) ตั้งแต่เกิดมาต่างต้องตกอยู่ใต้ความไม่รู้อะไรเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่รู้ว่าตนเกิดมาทำไม ก็ยอมคิดมักง่ายว่าช่างมัน ๒) ตั้งแต่เกิดมาต่างต้องอยู่กับความทุกข์เดือดร้อนทั้งกายใจจนกระทั่งตาย ก็ยอมคิดมักง่ายว่าช่างมัน ๓) ตั้งแต่เกิดมาต่างต้องอยู่กับความสกปรก และผลิตขยะสร้างความสกปรกให้แก่โลกจนกระทั่งตายแม้ตายแล้วก็ยังทิ้งศพให้สกปรกต่อโลกอีก ก็ยอมคิดมักง่ายว่าช่างมัน ๔) ตั้งแต่เกิดมาต่างต้องตกอยู่ใต้กฎแห่งกรรมซึ่งไม่มีการประกาศให้รู้ แต่บีบคั้นให้ต้องเป็นนักโทษรอประหารของโลกอย่างไม่มีวันจบ ก็ยังยอมคิดมักง่ายว่าช่างมันอยู่นั่นเอง แต่ท่านผู้มีใจสงบนี้กลับฮึดสู้ ไม่ยอมถอยแม้ครึ่งก้าว เพราะสติเตือนให้ท่านระลึกถึงความจริงที่เห็นประจักษ์ตามธรรมชาติว่า
เมื่อมีร้อน ก็มี เย็น
เมื่อมีมืด ก็มี สว่าง
เมื่อมีขุ่น ก็มี ใส
เพราะฉะนั้น เมื่อมีความไม่รู้ ก็ย่อมมี ความรู้แจ้งมาแก้ไขได้
เมื่อมีความทุกข์ ก็ย่อมมี ความสุขมาแก้ไขได้
เมื่อมีความสกปรก ก็ย่อมมี ความสะอาดมาแก้ไขได้
เมื่อมีการตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม ก็ย่อมมี การอยู่เหนือกฎแห่งกรรมมาแก้ไขได้
สัมปชัญญะของท่านก็คอยกระตุ้นเตือนให้รู้ตัวว่า บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ที่ท่านต้องยอมสละชีวิตบำเพ็ญเพียรทั้งด้านกายภาพ และจิตภาพควบคู่กันไป เพื่อค้นหาความจริงของสรรพสัตว์และสรรพสิ่ง เพื่อนำความรู้จริงเรื่องนั้น ๆมาเป็นอุปกรณ์กำจัดความจริงที่น่าตระหนกประจำโลกทั้ง ๔ ประการ ให้หมดสิ้นให้จงได้
ในที่สุด หลังจากท่านค้นคว้าและประพฤติปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดยิ่งยวดพอเหมาะพอดีมายาวนาน สุขภาพร่างกายของท่านก็แข็งแกร่งเต็มที่ สมาธิและสติสัมปชัญญะของท่านก็สมบูรณ์ถึงที่สุด สามารถประคองรักษาใจให้หยุดนิ่ง ตั้งมั่น ณ ศูนย์กลางกายได้อย่างถาวร ใจของท่านก็ใสสะอาดบริสุทธิ์ถึงที่สุด บังเกิดความสว่างโพลงขึ้นภายในอย่างไม่มีประมาณ ราวกับกลืนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงไว้กลางท้อง แต่มีความชุ่มเย็นเหมือนดวงจันทร์เพ็ญ สามารถเห็นสรรพสิ่งและสรรพสัตว์ต่าง ๆ ตรงตามความเป็นจริง และรู้แจ้งความจริงจากการเห็นนั้นพร้อม ๆ กันไปทำให้ท่านสามารถประพฤติปฏิบัติกาย-วาจา-ใจของตนให้สะอาดบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ตั้งแต่นั้นมาทุกการกระทำของท่าน ย่อมไม่ทำความเดือดร้อนใด ๆ ทั้งต่อตัวท่านเองและผู้อื่น มีแต่จะทำให้เกิดประโยชน์กับสรรพสัตว์ทั่วหน้า กิเลส คือโรคประจำใจ ๓ ก็ถูกกำจัดออกจากใจ เพราะการเห็นและรู้ความจริงจากความสว่างภายในนั้น
สิ่งที่สำคัญและเป็นพระคุณอย่างหาที่สุดมิได้ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย คือ ท่านไม่หวงแหนความรู้แจ้งเห็นจริงที่ท่านค้นคว้าศึกษาวิจัยมาด้วยชีวิตของท่านเอง ท่านยังมีมหากรุณาสั่งสอนชาวโลกให้รู้ความจริงของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งตามท่าน ติดตามให้กำลังใจผู้ที่สามารถตรึกตรองจนรู้ความจริงให้กล้าสละชีวิต ฝึกตนจนสามารถเก็บใจไว้ในกายได้อย่างถาวร ใจจึงสะอาด บริสุทธิ์ ได้รู้แจ้งเห็นจริงในทุกระดับทั้งจากภายนอกและภายในกาย กำจัดกิเลสได้อย่างเด็ดขาด และพ้นทุกข์อย่างแท้จริงตามท่าน ท่านจึงได้ชื่อว่า ท่านผู้รู้แจ้งเห็นจริง คือ ทั้งรู้และทั้งเห็นจริงในสรรพสัตว์และสรรพสิ่งด้วยตนเองโดยชอบ เราเรียกนามของท่านสั้น ๆ ว่า ท่านผู้รู้จริง
สาธุค่ะ
ตอบลบน้อมกราบสาธุ สาธุ สาธุครับ
ตอบลบ