สติ สัมปชัญญะในชีวิตประจำวัน
ตอน
ความจริงน่าตระหนกประจำโลกที่ถูกมองข้าม ประการที่ ๔
สัตว์โลกตกอยู่ใต้กฎแห่งกรรม ทันทีที่เกิด ทุกชีวิตต่างตกเป็นนักโทษรอประหารของโลก ตกอยู่ภายใต้กฎเหล็กที่ไม่เคยติดประกาศให้ใครรู้ คือ กฎแห่งกรรม กฏนี้มีอำนาจครอบคลุมไปทั้งโลก ใคร ๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ เป็นเสมือนกฎหมายร้ายแรงที่จ้องแทงเชือดเฉือนผู้คนทั้งโลกอยู่เบื้องหลัง ต้องรอให้ท่านผู้รู้ผู้เห็นความจริงทุกสรรพสิ่งด้วยญาณทัสสนะ คือ ความสว่างภายในจากการเจริญสมธิอย่างยิ่งยวดของท่าน ค้นพบแล้วนำมาประกาศ ชาวโลกจึงทราบได้ ซึ่งตลอดยุคสมัยของท่านเองก็ไม่สามารถประกาศให้ทราบกันได้ทั่วโลก ครั้นกาลเวลาผ่านไป ชาวโลกทั้งหลายก็หลงลืมกฎแห่งกรรมที่ค้นพบได้โดยยากนี้อีก ต้องรออีกนานนับอสงไขย ๆ กัป ท่านผู้รู้จริงองค์ใหม่จึงมาค้นพบแล้วประกาศให้ชาวโลกทราบใหม่อีกครั้ง สาเหตุที่เรียกทุกคนว่าเป็นนักโทษรอประหารของโลกเพราะ
๑. ทุกคนในโลก เมื่อเกิดแล้วย่อมออกไปจากโลกนี้ไม่ได้ ต่างต้องตายในคุกคือโลกนี้ แม้มีบางคนเคยเล็ดลอดออกไปถึงดวงจันทร์ได้ แต่ดวงจันทร์ก็เป็นเพียงคุกบริวารของโลก สุดท้ายคนเหล่านั้นก็ต้องกลับมาตายในโลก
๒. เนื่องจากทุกคนต่างรู้ว่าตนเอง ถึงอย่างไรวันหนึ่งก็ต้องตาย คือ ต้องถูกประหารแน่ ๆ เพียงแต่ไม่รู้วันตายจึงกลายเป็นนักโทษรอประหาร ตกอยู่ในความหวาดกลัวความตายตลอดชีวิต
๓. กฎแห่งกรรมตราไว้สั้น ๆ ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่ไม่มีการอธิบายขยายความใด ๆ ทั้งสิ้น ท่านผู้รู้จริงจึงได้เมตตาขยายความให้ฟังว่า คำว่า กรรม แปลว่า การกระทำ มีความหมาย ๓ ประการ ได้แก่
๓.๑ กรรมเป็นการกระทำที่เกิดจากเจตนา คือ ตั้งใจทำ
๓.๒ กรรมเป็นการกระทำของคนที่ยังมีกิเลส คือ ผู้ที่ยังมีโรคประจำใจ ได้แก่ โรคโลภะ โรคโทส: โรคโมหะถ้าหมดกิเลสแล้วเช่นเดียวกับท่านผู้รู้จริง การกระทำของท่านก็ล้วนไม่เป็นกรรม เป็นแต่เพียงกิริยาอาการเท่านั้น
๓.๓ กรรมเป็นการกระทำที่ยังมีการให้ผลต่อไปอีก หลังจากเสร็จการกระทำนั้นแล้ว โดยคนเรากระทำกรรม ได้ ๓ ทาง คือ
๑) ทางกาย คือ การใช้มือ เท้า และอวัยวะอื่น ๆ กระทำ เรียกว่า กายกรรม
๒) ทางวาจา คือ การพูด เรียกว่า วจีกรรม
๓) ทางใจ คือ การคิด เรียกว่า มโนกรรม
๑. ทุกคนในโลก เมื่อเกิดแล้วย่อมออกไปจากโลกนี้ไม่ได้ ต่างต้องตายในคุกคือโลกนี้ แม้มีบางคนเคยเล็ดลอดออกไปถึงดวงจันทร์ได้ แต่ดวงจันทร์ก็เป็นเพียงคุกบริวารของโลก สุดท้ายคนเหล่านั้นก็ต้องกลับมาตายในโลก
๒. เนื่องจากทุกคนต่างรู้ว่าตนเอง ถึงอย่างไรวันหนึ่งก็ต้องตาย คือ ต้องถูกประหารแน่ ๆ เพียงแต่ไม่รู้วันตายจึงกลายเป็นนักโทษรอประหาร ตกอยู่ในความหวาดกลัวความตายตลอดชีวิต
๓. กฎแห่งกรรมตราไว้สั้น ๆ ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่ไม่มีการอธิบายขยายความใด ๆ ทั้งสิ้น ท่านผู้รู้จริงจึงได้เมตตาขยายความให้ฟังว่า คำว่า กรรม แปลว่า การกระทำ มีความหมาย ๓ ประการ ได้แก่
๓.๑ กรรมเป็นการกระทำที่เกิดจากเจตนา คือ ตั้งใจทำ
๓.๒ กรรมเป็นการกระทำของคนที่ยังมีกิเลส คือ ผู้ที่ยังมีโรคประจำใจ ได้แก่ โรคโลภะ โรคโทส: โรคโมหะถ้าหมดกิเลสแล้วเช่นเดียวกับท่านผู้รู้จริง การกระทำของท่านก็ล้วนไม่เป็นกรรม เป็นแต่เพียงกิริยาอาการเท่านั้น
๓.๓ กรรมเป็นการกระทำที่ยังมีการให้ผลต่อไปอีก หลังจากเสร็จการกระทำนั้นแล้ว โดยคนเรากระทำกรรม ได้ ๓ ทาง คือ
๑) ทางกาย คือ การใช้มือ เท้า และอวัยวะอื่น ๆ กระทำ เรียกว่า กายกรรม
๒) ทางวาจา คือ การพูด เรียกว่า วจีกรรม
๓) ทางใจ คือ การคิด เรียกว่า มโนกรรม
ความไม่รู้ที่ค้างคาใจทุกคนคือ
เราคือใคร ก่อนเกิดมาจากไหน
ตายแล้วจะไปไหน ตายเมื่อไหร่
ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม
เพราะไม่รู้จริงในสิ่งเหล่านี้
จึงเป็นเหตุให้ขาดความมั่นใจในตนเอง
แม้ขณะทำความดี
ตายแล้วจะไปไหน ตายเมื่อไหร่
ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม
เพราะไม่รู้จริงในสิ่งเหล่านี้
จึงเป็นเหตุให้ขาดความมั่นใจในตนเอง
แม้ขณะทำความดี
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลและรูปภาพ
- เว็บกัลายาณมิตร หนังสือ Ebook "สติ สัมปชัญญะ" คำนำ หน้าที่ ๘๑-๘๓
- ภาพดี ๆ๐๗๒
- การ์ด canva ออกแบบโดย brightmind
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุครับ
ตอบลบน้อมกราบสาธุ สาธุ สาธุครับ
ตอบลบ