บทสรุปส่งท้าย
ที่ผ่านมาเราอยู่ในยุคแห่งความศรัทธา คือ ผู้ใหญ่ บอกให้จำ นำไปท่อง พูดให้คล่อง ตอบให้ถูก ไม่ต้องสงสัยว่าทำไม ไม่ต้องถามหาเหตุผล ไม่ชักชาแค่ให้รีบทำตามที่สั่ง ทุกคนต่างขมีขมัน ทำตามด้วยความเชื่อมั่นฝังใจว่าคำสั่งคำสอนของผู้ใหญ่เป็นสิ่งถูกต้อง ใครทำตามย่อมได้ดี มีแต่ความสุขความเจริญ เราได้รับการปลูกฝังให้เคารพเชื่อฟัง มีศรัทธาต่อผู้ใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ พระภิกษุ ผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคม ในบ้าน ในเมืองอย่างไม่มีข้อแม้เงื่อนไขใด ๆ เช่นนี้มานานแสนนาน
ปัจจุบันเมื่อความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และระบบสารสนเทศเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนสามารถเข้าถึงความรู้วิชาการและข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่าย ไม่ยุ่งยากและไม่ต้องลงทุนมากเหมือนสมัยก่อน เพราะความรู้ไม่ได้มีแต่ที่ผู้ใหญ่ ไม่ได้มีแต่ในห้องเรียน แต่อยู่ในเครื่องมือสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ใคร ๆ สามารถพกพาติดตัวไปได้สะดวกทุกที่ ซึ่งเราเรียกว่า โทรศัพท์มือถือ
คนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในสภาวการณ์เช่นนี้ ย่อมต้องการเหตุผลมากกว่าคำสั่ง ซึ่งผู้ใหญ่ส่วนมากก็มักตอบเหตุผลไม่ได้ เพราะตนเองก็เติบโตและเจริญก้าวหน้ามาได้จากการทำตามคำสั่งของผู้ใหญ่ที่มีอำนาจ หาได้รุ่งเรืองจากอำนาจการคิดรู้ของตนเองไม่ ช่องว่างระหว่างวัย ช่องว่างทางความคิดก็เกิดขึ้นทันที ซึ่งนำไปสู่ความร้าวฉานในสังคม แล้ว เราจะปล่อยให้วัฏจักรนี้หมุนวนช้ำรอยเดิมต่อไปอีกหรือ
ผู้รู้จริงทั้งที่มีมาในอดีต ปัจจุบัน และจะมีในอนาคต ท่านได้ให้หลักคิดไว้ว่า อย่ามัวมาเสียเวลาหาเหตุผลในเรื่องต่าง ๆ เยอะแยะมากมายเลย แต่ให้รีบมาหาความจริงที่สามารถเอาชนะความจริงน่าตระหนกประจำโลก ๔ กันก่อนเพราะนั่นคือที่มาของเหตุผลแท้จริงทั้งปวง การศึกษาที่ถูกต้องแท้จริงจึงต้องเกิด เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ฝึกหัด ฝึกฝนพัฒนาตนเองให้มองตน พิจารณาตน เห็นตนเองให้ชัดว่า บัดนี้ตนเองรอบรู้ชัดความจริงที่ต้องรีบรู้ รีบประพฤติได้ถูกต้อง ครบถ้วนมากน้อยเพียงใด แล้วรีบนำความจริงนั้นมาประพฤติปฏิบัติแก้ไขนิสัยตน ให้ตนเป็นผู้มีนิสัยเว้นขาดจากความชั่วทั้งปวง ฝึกให้มีนิสัยรักทำแต่ความดีไม่ทำความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น มีแต่สร้างประโยชน์สุข และสุดท้ายให้ตนมีนิสัยรักทำใจให้ผ่องใสเป็นนิจ มีสติสัมชัญญะในทุกภารกิจการงาน เพื่อควบคุมเหนี่ยวรั้งใจไม่ให้แวบออกนอกกาย ไม่คิดร้าย ไม่พูดร้าย และไม่ทำร้ายตนเองและใคร ๆ นั่นคือเรากำลังเข้าสู่ยุคพุทธิจริต คือ ยึดความจริงและความดีเป็นที่ตั้ง
ท่านผู้รู้จริงคือใคร ท่านก็คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นที่เคารพ กราบไหว้บูชาของทั้งมนุษย์ เทวดาและพรหม เหตุที่ไม่ประสงค์ระบุพระนามท่านตั้งแต่ต้นเพื่อให้คนยุคปัจจุบัน ซึ่งไม่ค่อยได้ร่ำเรียนพระพุทธศาสนา ไม่ค่อยได้เข้าวัด ฟังธรรม สวดมนต์ เจริญสมาธิ แผ่เมตตา เมื่ออ่านหนังสือสติสัมปชัญญะรากฐานการศึกษาของมนุษยชาติจะได้คิดใครครวญไตร่ตรองความเป็นเหตุเป็นผลอย่างอิสระเต็มที่ ว่าจริงดังที่ผู้รู้จริงทั้งหลาย ท่านได้ค้นพบ และวางรากฐานการประพฤติปฏิบัติไว้แล้วหรือไม่ เพราะผู้รู้จริงก็เคยบอกไว้เองว่า จงอย่าเชื่อเพราะผู้นั้นผู้นี้บอก แต่เชื่อเพราะได้ขบคิด ได้คิดตรองแล้วตรองอีกจนรู้ และได้ฝึกหัด ฝึกฝน เพียรประพฤติปฏิบัติด้วยตนเองจนรู้ความจริงด้วยตัวเองแล้วเหตุผลถูกต้องตรงตามความเป็นจริงอื่น 1 ก็จะพรั่งพรูให้รู้ว่าทำไม ต้องคิด ต้องพูด ต้องทำอย่างนี้ อย่างนั้น ความไม่รู้ว่าเรามีใจหรือไม่ ความไม่เชื่อว่าใจมีจริงไหม สมองเท่านั้นที่เป็นใหญ่คอยควบคุมสั่งกายจริงหรือไม่ ความจริงจิตภาพที่ต้องรีบรู้ รีบประพฤติ อันดับแรกก็คือ การฝึกสติเก็บใจไว้ในกายเป็นนิจ ความจริงดังกล่าวเหล่านี้จริงหรือไม่ ความเคลือบแคลงสงสัยเหล่านี้จะได้หมดไปจากใจ คำถามที่ว่าทำไม ทำไม ๆ จะได้มอดมลายหายสูญไป แล้วชาวโลกทุกคนจะได้เอาเวลาชีวิตอันแสนสั้นของตนมาฝึกฝน อบรมใจให้มีสติสัมปชัญญะ มีใจตั้งมั่นอยู่กลางกายกระทั่งรู้เห็นความจริงตามอย่างท่านผู้รู้จริงทั้งหลายที่มีมาแล้วในอดีต ปัจจุบัน และที่จะมีมาอีกในอนาคต
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลและรูปภาพ
- เว็บกัลยาณมิตร "หนังสือ Ebook : สติสัมปชัญญะ" : บทสรุปส่งท้าย หน้า 147-149
- บล็อกภาพดีๆ 072
- การ์ดจากเว็บ canva ออกแบบโดย brightmind
กราบสาธุเจ้าค่ะ
ตอบลบน้อมกราบสาธุ สาธุ สาธุครับ
ตอบลบ