ร่วมด้วยช่วยกันแชร์เป็นธรรมทาน

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2564

7 ปัจจัยพิชิตโควิดอย่างง่าย ๆ

 



จากรายการสติถิการติดเชื้อโควิด 19 ทั่วโลก และในแถบประเทศอาเซียน สถานการณ์บางประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คือ ประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และ เวียดนาม และเสียชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงในเดือนพฤษภาคม มีรายการและการทุบสถิติการติดเชื้อโควิด19 และคนตายนับว่าสูงมาก คืออินเดีย ที่ติดเชื้อวันละ 400,000 คน ซึ่งคาดว่ายังเป็นยอดที่ไม่ได้นับอีกมหาศาล คนเสียชีวิตมากมายนับไม่ถ้วน อีกทั้งสภาพสิ่งแวดล้อม ประเพณี และความเชื่อของคนอินเดีย แต่หลังจากนั้น ภายใน1เดือน สถานการณ์การติดเชื้อก็ลดลง คนตายแม้ว่า จะเพิ่มเป็นประวัติการณ์ แต่ต่อมาก็ลดลง ๆ ไปเรื่อย ๆ ในปัจจุบันนี้ สถิติการติดเชื้ออยู่ในระดับ 40,000 คน ต่อวัน เขาทำได้อย่างไร น่าศึกษา 

หากใครได้ติดตามอ่านบทความที่ถอดบทความจากหลวงพ่อทัตชีโวที่เทศนาให้ฟังในวันอาทิตย์ต้นเดือนพฤษภาคม 2564 (ติดตามอ่านย้อนหลัง ได้ตามที่แหล่งอ้างอิงแจ้งไว้) ก็จะพบว่า ใน "ปโลกสูตร" พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เหตุที่มนุษย์ลดน้อยลง คือ ความโลภของมนุษย์ การไม่มีศีล คดโกง คอรัปชั่น ทะเลาะวิวาท ต่างหยิบอาวุธเข่นฆ่าและทำสงคราม มนุษย์ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก เกิดทุกขภิกภัย ข้าวยากหมากแพง ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล เกิดโรคระบาด เพราะ พวกยักษ์ปล่อยอมนุษย์ที่ร้ายกาจไว้(บนพื้นโลก) เพราะเหตุนั้นมนุษย์จึงล้มตายเป็นจำนวนมาก

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนว่า  สะอาดกับระเบียบ สะอาดคือธรรมะ ระเบียบคือพระวินัยธรรม ธรรมะและวินัยจะคุ้มครองชาวโลกให้ปลอดภัย และ ความสุขความเจริญของชาวโลกของมนุษย์ ขึ้นอยู่กับบุญของตัวคนผู้นั้น ถ้าจะพูดอีกทีหนึ่ง ก็คือ สุข ทุกข์ของมนุษย์เจริญหรือเสื่อมของมนุษย์ขึ้นอยู่กับบุญบาปของมนุษย์ผู้นั้น

หลวงพ่อทัตตชีโว บอกวิธีการเติมบุญตามแนวทางพระพุทธศาสนา : ทำทาน รักษาศีล ทำภาวนา ทุกวัน

ธรรมเทศนาของหลวงพ่อทัตตชีโว ในช่วงวันอาทิตย์ต้นเดือนที่ผ่าน ๆมา หลวงพ่อแนะนำว่า การเติมบุญให้ตนเองนั้น ได้แก่ สวดมนต์บทธรรมจักร และชวนคนรอบตัวมาสวดเป็นทีม  นั่งสมาธิ ฟังธรรม อ่านหนังสือพระไตรปิฎก เป็นการทำใจให้ผ่องใส ทำความดี ละความชั่วทั้งปวง 

การสวดมนต์บทธรรมจักร ท่านได้แนะนำเพิ่มว่า ตลอดช่วงเวลา 17 นาทีต่อ1จบนั้น ควรต้องตั้งใจสวดมนต์ น้อมนำใจไปไว้ที่ศูนย์กลางกาย ใจอยู่ในธรรมะภายใน อย่างมีสติตลอดเวลา ใจไม่แวปไปที่อื่นขณะสวด เรียกว่าได้บุญบริสุทธิ์ล้วนๆ ด้วยสองมือเรา เกิดพลังบุญที่ใสสะอาด รวมกันหลายๆ คน ก็จะได้มีพลังบุญที่ประมาณไม่ได้ ไปทั่วโลก

ในปัจจุบันนี้ พื้นที่ไทยส่วนใหญ่ Lock down ดังนั้นเครื่องมือในการสร้างและเพิ่มบุญให้ตนเองและคนที่เรารัก ก็คือ การเข้าทำบุญออนไลน์ ที่แอพพิเคชั่น Zoom หรือ เครื่องมืออื่นๆมากมาย สามารถติดต่อประสานงานและเข้าชมรายการธรรมะในเว็บไซด์ Zoom On Line All รวย

 

ทำไมอินเดียมีประชากรติดเชื้อโรคโควิด19 เยอะ และเสียชีวิตจำนวนมหาศาล

 ข่าวบีบีซี นิวส์ กรุงนิวเดลี รายงานข่าวในช่วงเดือนพฤษภาคม 2564 ว่า คนอินเดียมีความเชื่อทางประเพณีและศาสนาในการทิ้งศพลงแม่น้ำคงคาจะทำให้คนตายไปสวรรค์ ซึ่งน่าจะเป็นเหตุปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคระบาดมากขึ้น และทำให้ประชาชนเสียชีวิตเพิ่มขึ้น ทั้งที่ทราบจำนวน และ ไม่ทราบจำนวนอีกมากมายมหาศาล และคนอินเดียส่วนใหญ่เป็นคนยากจนไม่มีเงินจัดการศพ เขาจึงห่อศพและไสลงแม่น้ำคงคา ตามประเพณี ซึ่งทุกคนเห็นเป็นเรื่องปกติ  แม้จะมีการเผาศพแต่เนื่องด้วยมีคนตายจำนวนมากเพิ่มขึ้น ไม่มีที่เผาศพ จึงได้เผาศพที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา หรือ ฝังศพไว้ในท้องน้ำแม่น้ำ เรียกว่าหลุมฝังศพกระจายไปทั่วท้องน้ำ เมื่อมีฝนตกและระดับแม่น้ำสูงขึ้น ก็ทำให้แม่น้ำนำพาศพที่ฝังไว้ตื้นๆ ลอยตามน้ำไป ศพจึงเกลื่อนไปทั่วแม่น้ำคงคา ซึ่งเป็นเหตุทำให้เชื้อโรคกระจายมากขึ้น อินเดียทุบสถิติมีคนติดเชื้อถึงวันละสี่แสนคน จำนวนผู้เสียชีวิต 275,000 คน (ข่าววันที่ 19 พค 2564) ซึ่งตัวเลขอาจจะมากกว่าที่แจ้งไว้

 กระทรวงสาธารณสุขอินเดียรายงาน ในช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2564 ว่า แม้ผู้ติดเชื้อเริ่มลดลง แต่ในรอบหนึ่งวันต่อมา ก็ยังมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหตุเพราะสิ่งอำนวยด้านการดูแลสุขภาพไม่ทั่วถึง 

6 สัปดาห์ ที่ประเทศอินเดียประสบภัยการระบาดของเชื้อโรคโควิด 19  ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล ออกซิเจนและยาขาดแคลน แม้จะเสียชีวิตเพิ่ม แต่ผู้ติดเชื้อก็ลดลงมากแล้ว นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี

ในปัจจุบัน (ข่าว 6 สิงหาคม 2564) เมื่ออินเดียมีกลยุทธในการบริหารจัดการ จึงได้ประสบผลสำเร็จในการจัดการด้านการฉีดวัคซีนและรัฐเข้ามาช่วยดูแลประชากรได้อย่างดีมีประสิทธิภาพผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตก็ลดลงอย่างเป็นนัยยะ ตัวเลขปัจจุบันผู้ติดเชื้อเหลือเพียง 40,000 กว่าคน

สิงหาคมในประทเศไทย พบผู้ติดเชื้อโควิด19 และผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทย ก็เกิดวิกฤตระบาดของโรคโควิด19 จนกระทั่งทำให้ทุบสถิติในผู้เสียชีวิตเป็นประวัติการณ์ โดยวันที่ 18 สิงหาคม 2564 มีรายงานสถิติพบว่า มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด 312 คน ต่อวัน แม้ว่า วันอื่น ๆจะลดลง แต่ก็ยังมีการติดเชื้อเพิ่ม และการเสียชีวิตก็ยังไม่ได้ลดลง


ทุบสถิติการเสียชีวิตมากที่สุด 312 คน : สถิติผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ของประเทศไทย

 

7 ปัจจัยที่ทำให้อินเดียประสบผลสำเร็จในการควบคุมโรคโควิด 19

เดือนพฤษภาคม ประเทศอินเดียเกิดภาววิฤกติการเกิดโรคโควิด ระบาดอย่างหนัก และขั้นโคม่า เป็นอันดับหนึ่งในแถบเอเซีย หรือ อาจจะเป็นอันดับหนึ่งของโลกต่อประชากร ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ในสหรัฐ ที่แม้ประชาชนจะฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม แต่ก็ยังมีการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ตามรายงานข่าวแจ้งว่า ผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 สูง ส่วนมากเป็นพื้นที่ที่ประชาชนไม่ยอมฉีดวัคซีน และเชื้อที่ระบาดคือ สายพันธุ์ใหม่ เรียกว่า เดลต้า ปัจจุบัน ยังไม่สามารถค้นพบวัคซีนยี่ห้อชนิดใดที่ป้องกันเชื้อได้ และบุคคลากรทางการแพทย์ก็ขาดแคลน พยาบาลหลายรายติดเชื้อโควิด โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดสูง เช่น ภาคใต้ของสหรัฐ

ดร.แอนโทนี ฟาวชี ผู้เชี่ยวชาญโรคติดต่อสหรัฐ ได้ออกมาประกาศแจ้งเตือนชาวสหรัฐอเมริกา ให้สวมใส่หน้ากากในอาคารอีกครั้ง และล้างมือให้สะอาด 
 
ขอบคุณภาพจากเว็บCanva

 
ในขณะที่สหรัฐ(การแพร่ระบาดโควิด กลับมาอีกครั้ง) ไทย เวียดนาม อินโดเนเซีย มีการแพร่ระบาดโควิดอย่างหนัก แต่สภาวการณ์อินเดียที่มีการแพร่ระบาดของโควิดอย่างรุนแรง กลับสามารถควบคุมโรคได้ ภายหลังจากนั้น 1 เดือน มีปัจจัยอะไรที่อินเดียนำไปปฏิบัติ เรามาดูกัน

 

จากภาพสถิติ ประชากรอินเดียทั้งประเทศ 1,300 ล้านคน ตัวเลขชี้สูงสุดของผู้ติดเชื้อคือ วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 ในขณะที่ถัดมาอีกหนึ่งเดือนก็ดีขึ้น
 
Center for Global Development สถาบันเพื่อการพัฒนาโลก สำนักงานใหญ่อยู่ที่วอชิงตันสหรัฐอเมริกา ได้สรุปบทเรียนที่เกิดขึ้นในอินเดีย ว่า ทำไมตัวเลขลดลงมาอย่างเร็วมาก ได้ทำการวิจัย และพบว่า มี 7 ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้อินเดียฟื้นตัว คือ ลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงอย่างรวดเร็ว 
 
ปัจจัยที่ 1 รัฐบาลอินเดียตัดสินใจทุกอย่างโดยทำตามคำแนะนำของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งรวมทั้งแพทย์ด้วย ก่อนเดือนเมษายน ทีมงานไม่ได้เรียกประชุมเฉพาะกิจ เพราะคิดว่า สถานการณ์โควิด คุมได้แต่ปรากฎว่า โรคระบาดกลับมาแพร่ระบาดอย่างหนัก จึงได้เรียกประชุมเร่งด่วน จัดตั้งทีมเฉพาะกิจพิเศษ เช่น ทีมหาถังออกซิเจนก็หาถังออกซิเจนอย่างเดียว แต่ถ้าทีมหาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ก็ได้ร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์ประเทศอังฤกษ ขอข้อมูลมาตัดสินใจ เพราะว่าประเทศอินเดียรับงานนี้ไม่ทันแล้ว ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้ก็ทำให้รัฐบาลอินเดียตัดสินใจได้ถูกต้องมากขึ้น และก็ได้แบ่งงานให้หน่วยงานต่าง ๆทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
 
ปัจจัยที่ 2 เรื่องการตรวจตัวชี้วัดทางระบาดวิทยาอย่างเข้มข้น เอาจริงเอาจังในการตรวจหาการระบาดในพื้นที่ ที่เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ เช่น จำนวนผู้ติดเชื้อ จำนวนคนที่เข้ามาทำการรักษาตัวในโรงพยาบาล จำนวนผู้เสียชีวิต อัตราการติดเชื้อจากผู้ป่วยสู่บุคคลอื่น อาการของโรค ทำให้ข้อมูลแม่นยำมากที่สุด เพื่อนำไปสู่วิธีในการบริหารจัดการที่ถูกต้องต่อไป ข้อมูลที่สำคัญอีกตัวคือ ข้อมูลของน้ำเสีย ซึ่งหลายๆชาติ นำวิธีนี้ไปรับมือกับโควิด ได้อย่างดีมีประสิทธิภาพ เช่น ญี่ปุ่น อังฤกษ ออสเตรเลีย เยอรมันนี อิตาลี ฟินแลนด์ สิ่งปฏิกูลทุกอย่างที่ออกจากร่างกายของผู้ป่วยจะลงไปในน้ำเสีย หากตรวจพบเชื้อในพื้นที่นั้น ๆ ก็จะสามารถคำนวณหรือระบุได้ว่า พื้นที่ตรงไหนเป็นพื้นที่โรคระบาดใหม่ ทำนายไว้ล่วงหน้า ก็สามารถป้องกันได้
 
ปัจจัยที่ 3 การลงทุนตรวจหาเชื้อและตรวจหาการกลายพันธุ์อย่างเข้มงวด ทำให้พบผู้ป่วยจำนวนมาก จึงสามารถแยกผู้ป่วยออกมาได้ทันเวลา ซึ่งอินเดียใช้หลักการ ตรวจ-ตาม-แยก เฝ้าตรวจจับ genome (หมายถึง ข้อมูลทางพันธุกรรมทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตหนึ่ง ๆ โดยอาจจะอยู่ในรูปของ DNA หรือ RNA รวมทั้งส่วนที่เป็นยีน และส่วนที่ไม่มีการถอดรหัส) เพื่อสังเกตการกลายพันธุ์ของไวรัส ซึ่งก่อนหน้านี้ทำได้ช้า แต่พอรู้วิธีแล้วได้คำปรึกษา จึงเฝ้าสังเกตการณ์และตรวจกันอย่างเข้มข้น ก็พบว่า สามารถหาลำดับสายพันธุ์ DNA ได้ช้าในตอนแรก ทำให้สายพันธุ์เดลต้าระบาดไปมาก เมื่อได้ข้อสรุปเร็วและแม่นยำ จึงทำให้ทีมงานทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง
 

 
ปัจจัยที่ 4 การนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดระโยชน์ ในการเฝ้าระวังโรค โดยการร่วมมือกับอังฤกษ เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีมาใช้ตั้งแต่การตวรจหาผู้ติดเชื้อ การจับอาการของโรค รวมถึงการประเมินอาการด้วยตนเองแบบง่ายๆคือ อยู่ที่บ้านก็สามารถที่จะเปิด Application ในสมาร์ทโฟนในการทำดำเนินการเหล่านี้ด้วยตนเอง และยังพัฒนาเทคโนโลยีให้เข้าถึงประชาชนได้ง่ายที่มีราคาถูก เพราะควบคุมการติดเชื้อได้อย่างแม่นยำ และเป็นวงกว้าง ซึ่งคนอินเดียมีความสามารถและเก่งเรื่องไอทีและเทคโนโลยี
 
กระบอกฉีดยาวัคซีนแบบอัติโนมัติ : ขอบคุณภาพจากเว็บข่าวกรุงเทพธุรกิจ
 
ปัจจัยที่ 5  วางแผนการฉีดวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพ อินเดียฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว 418 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 1,300 ล้านคน การฉีดวัคซีนได้รวดเร็ว เกิดจากหลายปัจจัย เช่น โดยระบบการขนส่งตู้แช่เย็นวัคซีนต้องทำให้ดีมีประสิทธิภาพ และกระจายได้เร็ว กระบอกฉีดยาแล้วต้องทิ้ง  และเป็นกระบอกฉีดยาที่เป็นแบบอัตโนมัติทำให้ฉีดเร็วเพิ่มมากขึ้น สามารถระบบติดตามวัคซีนได้อย่างดีมีประสิทธิภาพ โดยมีการเปิดช่องทางพิเศษให้สถาบันเซรุ่มวิทยาและบริษัทที่ผลิตวัคซีนมาช่วยบริหารจัดการ ทำให้มุ่งเป้าในการฉีดวัคซีนได้ตามที่คาดการณ์ ซึ่งอินเดียมีโรงงานผลิตวัคซีนได้ด้วยตนเอง ทำให้สามารถผลิตวัคซีนได้จำนวนมาก  เช่น วัคซีนโควิชิลด์ ของบริษัทแอสตร้าเซเนก้า วัคซีนโควาซิน ของบริษัทพารัตไบโอเทค วัคซีนสปุตนิกวี จากรัสเซียซึ่งมีโรงงานผลิตในอินเดีย ทำให้ประเทศอินเดียผลิตยาได้สะดวกและมีจำนวนมาก เป็นข้อได้เปรียบอย่างมาก
 
 
ปัจจัยที่ 6 พร้อมให้บริการทางการแพทย์ในการช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเต็มที่ด้านสาธารณสุข แม้ว่าสถานการณ์โดยรวมแล้วจะค่อนข้างดีขึ้น คือ ผู้ติดเชื้อรายวันลดน้อยลง แต่อินเดียก็ยังคงเตรียมความพร้อมเต็มที่ ไม่มีการประมาทในเรื่องต่างๆ ทุกเรื่อง เช่น เรื่องของการเตรียมพร้อมของถังออกซิเจน การจัดเตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ เภสัชกรยาต่าง ๆ จัดไว้ให้มีพร้อมตลอดเวลา เพื่อเตรียมการรับมือการกลับมาใหม่ของไวรัส Covide-19 สายพันธุ์ใหม่ที่อาจกลายพันธุ์ ดังนั้นรัฐบาลจึงเร่งให้ความรู้ประชาชนในแนวทางการดูแลตนเองที่บ้าน โดยร่วมมือกับสถาบันทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้สำหรับการรักษาโควิดที่มีคุณภาพ
 
ปัจจัยที่ 7 การสื่อสารกับประชาชนให้ชัดเจนและต่อเนื่อง แม้จะมีการติดเชื้อลดลง ก็ต้องระวังป้องกันตลอดเวลาแม้ว่าจะเบื่อกัน ก็ต้องพูดอย่างต่อเนื่อง ให้ทราบว่า โรคไม่ได้หายไปไหน ยังคงอยู่กับเราในชีวิตประจำวัน ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังตนเองในทุกพื้นที่ ต้องป้องกันใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง ความรู้เบื้องต้นในการดูแลตนเองขณะอยู่บ้าน ทำด้วยใจสบายๆแบบเคร่งครัด การผ่านระบาดรอบใหญ่ช่วยให้ประชาชนมีประสบการณ์มากขึ้น และต้องเตรียมความพร้อมตลอดเวลา
 
จากข้อมูลทำให้ทราบว่า การมีภูมิคุ้มกันต้านโควิดต้องมาจากการฉีดวัคซีน การสุ่มตรวจประชากร 30,000 คนจากทั้งประเทศ พบว่า 2ใน3 ของประชากรทั้งประเทศมีภูมิคุ้มแล้ว ซึ่งตามข้อมูลนั้น ประชากรฉีดวัคซีนครบ 2 โดส ไปแค่ 7 % แต่ประชากร  67 % มีภูมิคุ้มกันเพิ่มมากขึ้นเยอะ และกลายเป็นภูมิคุ้มกันหมู่ (ภาษาอังฤกษ เรียกว่า Hard Immunity) เพราะมีผู้ป่วยติดเชื้อและรักษาหายไปเอง คือประชากรติดเชื้อไปแล้วกว่าครึ่งประเทศจนทำให้สูญเสียชีวิตเยอะมากๆ จึงมีเกิดภาวการณ์ "ภูมิคุ้มกันหมู่" ดังนั้น การเกิดภูมิคุ้มกันต้านโควิด นอกจากการฉีดวัคซีนแล้ว การเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ เรียกว่า เป็นภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ ที่เสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิต ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนต้องการ 

ย้อนกลับมาประเทศไทย สถิติตัวเลขการติดเชื้อโควิดเพิ่มสูงขึ้น การเสียชีวิตเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าการบริหารจัดการฉีดวัคซีนล้มเหลว ควรปรับเปลี่ยนแผนการอย่างรีบเร่งเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างจริงจัง อย่ารอให้เกิดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ ในภาววิกฤตนี้ ประชาชนก็ควรร่วมมือกัน ช่วยเหลือซึ่งกัน และช่วยดูแลตนเองอยางเข้มงวด

สิ่งที่คนไทยต้องการเวลานี้ คือ การที่ได้รับการฉีดวัคซีนได้อย่างดีมีประสิทธิภาพ เพื่อการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี ซึ่งไม่ใช่ภูมิคุ้มกันที่เกิดเองตามธรรมชาติจากการติดเชื้อโควิดแล้วรักษาหายเอง ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน สำหรับคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ก็อย่าประมาท  ควรใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง และทำตามแนวทางพระพุทธศาสนา คือ รักษาใจให้สะอาด ทำใจให้สบาย อย่ากังวล อย่าเครียด อย่าระแวง ควรระวัง และทำบุญทำความดีทุกชนิด คือ ทำทาน รักษาศีล ทำภาวนา สวดมนต์ ฟังธรรม เป็นยันต์ศักดิ์ที่ป้องกันภัยให้ตนเองได้อย่างดี ไม่ใช่เฉพาะป้องกันภัยได้เฉพาะในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังป้องกันไปถึงโลกหน้าภพหน้าด้วย


อาจเป็นรูปภาพของ ข้อความ

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลและรูปภาพ

3 ความคิดเห็น:

  1. น้อมกราบอนุโมทนาบุญกับธรรมทาน
    ทรงคุณค่าจากพระอาจารย์ด้วยครับ
    สาธุ สาธุ สาธุครับ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณกับบทความดีๆแบบนี้ครับ

    ตอบลบ

welcome everyone to เล่าเรื่องตามกาลเวลา